สิ่งที่จะเกิดขึ้นในกระบวนการเรียนรู้ คือการลองผิดลองถูก หรือการถามข้อมูลจากพ่อและแม่ ตรงนี้เด็กจะจำได้ดีโดยเฉพาะในช่วงวัยอนุบาลจนถึงประถมศึกษา เพราะเป็นช่วงที่สมองเริ่มแยกแยะน้ำเสียงคำพูด คำสั่งได้แล้ว โดยเด็กจะจดจำเนื้อหาของข้อมูล รวมกับน้ำเสียงของพ่อแม่ที่พูดอธิบายให้เขาฟัง ไม่แปลกเลยที่เด็กวัยอนุบาลจะเป็นเด็กช่างซักถาม และเด็กวัยประถมจะช่างสงสัย นี่ถือเป็นพัฒนาการทางสมองที่เหมาะสมกับช่วงวัย แต่พ่อแม่หลายๆคนก็ยังไม่รู้ ว่าพฤติกรรมบางอย่างอาจจะมาปิดกั้นการเรียนรู้ของลูก ทำให้การสื่อสารหรือการรับข้อมูลของสมองไม่เป็นไปตามที่ควร วันนี้เรามาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
1. กลัวมากเกินไป พ่อแม่ทุกคนต้องมีความรู้สึกกลัว กลัวว่าลูกจะบาดเจ็บ หรือแม้กระทั่งกลัวว่าลูกจะรู้อะไรที่ไม่ควรรู้ เช่น ลูกเดินมาถามว่าทำไมอวัยวะเพศของเขาถึงไม่เหมือนกับของเพื่อนต่างเพศ ตรงจุดนี้พ่อแม่ส่วนใหญ่คงดุลูกแล้ว แต่ถ้าคุณอยากให้เขาเรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติ คุณต้องอธิบายว่ามันคืออะไร เป็นอวัยวะที่เอาไว้ใช้xxxามเรื่องนี้ได้จะเป็นประโยชน์ในอนาคต เช่น เมื่อมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกาย เขาจะรีบบอกพ่อแม่ทันที
2. ไม่ส่งเสริมให้ลูกเรียนรู้ พ่อแม่จำนวนไม่น้อยที่ละเลยในเรื่องของการส่งเสริมการเรียนรู้ อย่างเช่นครอบครัวสมัยนี้หลายๆคนซื้อไอแพดไว้เลี้ยงลูก แบบนี้เป็นเรื่องที่ผิดเพราะอาจจะส่งผลให้เด็กปกติกลายเป็นเด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้ได้เหมือนกัน สิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือการสอนด้วยวิธีอ่านหนังสือให้ลูกฟัง การเลือกของเล่นที่เหมาะสมกับเขา หรือแม้กระทั่งการเลือกซื้อหนังสือภาพให้เขาได้อ่านด้วยตัวเอง สมัยนี้หนังสือภาพมีให้เลือกหลายๆหัวข้อ เช่น การใช้ชีวิตประจำวัน แม้กระทั่งสอนเรื่องxxxว่าพ่อกับแม่ทำอย่างไรถึงเกิดเป็นลูก เรื่องนี้มีความจำเป็นต่อการเติบโตของเขา อย่ามองข้ามเด็ดขาด
3. ปล่อยให้ลูกอยู่กับโทรศัพท์ เชื่อได้เลยว่าพ่อแม่หลายๆคนไม่ได้ให้เวลากับลูกมาเพียงพอ เพราะปล่อยให้ลูกอยู่กับโทรศัพท์แทนการออกไปเล่นกับเพื่อน หรือได้เข้าสังคมใหม่ ถ้าเด็กติดโทรศัพท์มากเกินไป สิ่งที่ตามมาคือทักษะการสื่อสาร เขาจะไม่สามารถจับใจความของสิ่งที่ได้ยิน และไม่สามารถพูดประโยคที่มีใจความได้ บางครั้งอาจจะทำให้เด็กกลายเป็นเด็กที่ไม่พูดเลย ส่งผลต่อการดำรงชีวิตในอนาคตของเขา ถ้าปล่อยให้เขาได้ไปเล่นกับเพื่อน จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการในหลายๆด้าน โดยเฉพาะด้านร่างกาย และด้านสังคม